วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

ขั้นตอน วิธี และระเบียบวิธีในการสืบค้น

การสืบค้นข้อมูล
การสืบค้นข้อมูล หมายถึง วิธีการต่างๆ ที่ใช้ประกอบในการสร้างประโยคการค้นหา เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด เทคนิคในการค้นหานั้น สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การค้นหาพื้นฐานหรืออย่างง่าย (Basic Search) และการค้นหาแบบซับซ้อนหรือขั้นสูง (Advanced Search)
การนำความรู้เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต มาประยุกต์ใช้ในการศึกษาหาความรู้ ได้แก่ การสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต โดยการใช้งานอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับการศึกษานี้จะสามารถแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ระดับดังนี้
1. การสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต
2. การนำข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตมาใช้งาน
3. การสร้างแหล่งข้อมูลด้วยตนเอง
ก่อนจะเริ่มต้นการค้นหา ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
         1. ผู้ค้น จะต้องทราบว่าตนเอง ต้องการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใด นอกจากนี้จะต้องมีข้อมูลส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ต้องการจะค้นหา (ลองสำรวจตัวเองก่อนสิคะว่า มีข้อมูลอะไรบ้างตอนนี้) ถ้ายังไม่มี คิดค่ะคิด...ใช้หมองหน่อย...ได้หรือยังคะ  ได้แล้วจดไว้ค่ะ ....
         หรือหากคิดไม่ออกจะช่วยคิดค่ะ ง่ายๆ เช่น รู้จักชื่อผู้แต่งมั๊ย รู้จักชื่อเรื่องที่เราต้องการค้นหาหรือไม่ ถ้าไม่รู้ให้กำหนดหัวเรื่องหรือคำสำคัญแทนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวจะพูดต่อไป....
         2. รู้จักแหล่งสารสนเทศหรือเครื่องมือที่จะใช้ค้นหาหรือยังคะ เช่น ถ้าคุณต้องการค้นหารายการบรรณานุกรมงานวิจัยของห้องสมุดมหาวิทยาลัยขอนแก่น ควรจะใช้ฐานข้อมูลใดค้นหา จึงจะได้ข้อมูลตามที่ต้องการ เป็นต้น
         ดังนั้น สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ผู้ค้นจะต้องรู้จักแหล่งสารสนเทศและฐานข้อมูลหรือเครื่องมือค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่ต้องการ ซึ่งปัจจุบันนี้มีมากมายทั้งฟรีและบริการเชิงพาณิชย์
         3. ต้องรู้จักวิธีการใช้แหล่งสารสนเทศ ฐานข้อมูลหรือเครื่องมือที่ใช้ค้นหา เช่น รู้จักวิธีค้นหาแบบพื้นฐาน หรือหากจะให้ดีก็ควรรู้จักการค้นหาแบบขั้นสูงด้วย นอกจากนี้ยังต้องรู้จักวิธีการจัดการผลลัพธ์ ได้แก่ การบันทึก การสั่งพิมพ์ การส่งข้อมูลทาง E-mail การจัดการรายการบรรณานุกรม เป็นต้น
         4. รู้จักกฏ กติกา มารยาทในการใช้แหล่งสารสนเทศ ฐานข้อมูลหรือเครื่องมือค้นหา เนื่องจากปัจจุบันได้มีการละเลิดลิขสิทธิ์กันมากขึ้น
การค้นคว้าด้วยการใช้ Search Engine
                การใช้งานงานอินเทอร์เน็ตที่นิยมใช้กันอย่างมาก จะได้แก่การเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อหาความรู้ แต่การเข้าเยี่ยมชมนั้น ในกรณีที่เรารู้ว่าเว็บไซต์เหล่านั้นมีชื่อว่าอะไร เนื้อหาของเว็บ มุ่งเน้นเกี่ยวกับสิ่งใด เราสาสามารถที่จะเข้าเยี่ยมชมได้ทันที่ แต่ในกรณีที่เราไม่ทราบชื่อเว็บเหล่านั้น แต่เรามีความต้องการที่จะค้นหาเนื้อหาบางอย่าง มีวิธีการจะเข้าสืบค้นข้อมูลได้ โดยการใช้ความสามารถของ Search Engine
Search Engine จะมีหน้าที่รวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ต่างๆ เอาไว้ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมู่ ผู้ใช้งานเพียงแต่ทราบหัวข้อที่ต้องการค้นหาแล้วป้อน คำหรือข้อความของหัวข้อนั้นๆ ลงไปในช่องที่กำหนด คลิกปุ่มค้นหา เท่านั้น ข้อมูลอย่างย่อๆ และรายชื่อเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องจะปรากฏให้เราเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ทันที
Search Engine แต่ละแห่งมีวิธีการและการจัดเก็บฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไปตามประเภทของ Search Engine ที่แต่ละเว็บไซต์นำมาใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ดังนั้นการที่จะเข้าไปหาข้อโดยวิธีการ Search นั้น อย่างน้อยเราจะต้องทราบว่า เว็บไซต์ที่จะเข้าไปใช้บริการ ใช้วิธีการหรือ ประเภทของ Search Engine อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป
ประเภทของ Search Engine
1. Keyword Index  เป็นการค้นหาข้อมูล โดยการค้นจากข้อความในเว็บเพจที่ได้ผ่านการสำรวจมาแล้ว จะอ่านข้อความ ข้อมูล ประมาณ 200-300 ตัวอักษรแรกของเว็บเพจ วิธีการค้นหาของ Search Engine ประเภทนี้จะให้ความสำคัญกับการเรียงลำดับข้อมูลก่อนหลัง  การค้นหาข้อมูล โดยวิธีการเช่นนี้จะมีความรวดเร็วมาก แต่มีความละเอียดในการจัดแยกหมวดหมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อย เนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดของเนื้อหาเท่าที่ควร แต่ถ้าต้องการแนวทางด้านกว้างของข้อมูล การค้นหาแบบนี้จะเหมาะสมที่สุด
2. Subject Directories  การจำแนกหมวดหมู่ข้อมูล Search Engine ประเภทนี้ จะจัดแบ่งโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ของแต่ละเว็บเพจ ว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร โดยการจัดแบ่งแบบนี้จะใช้คนพิจารณาเว็บเพจ แต่ละเว็บ แล้วทำการจัดหมวดหมู่ โดยจะขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนจัดหมวดหมู่แต่ละคนว่าจะจัดเก็บข้อมูลนั้นๆ อยู่ในกลุ่มของอะไร ดังนั้นฐานข้อมูลของ Search Engine ประเภทนี้จะถูกจัดแบ่งตามเนื้อหาก่อน แล้วจึงนำมาเป็นฐานข้อมูลในการค้นหาต่อไป
3. Metasearch Engines  จะเป็น Search Engine ที่ใช้ในการค้นหาเว็บ ด้วยตัวของ Search Engine แบบ Metasearch Engines เองแล้ว แต่ที่เด่นกว่านั้นคือ Search Engine แบบ Metasearch Engines จะยังสามารถเชื่อมโยงไปยัง Search Engine ประเภทอื่นๆ เพื่อเรียกดูข้อมูลที่ Search Engine อื่นๆ ค้นพบ โดยสังเกตได้จากจะมีคำว่า [Found on Google, Yahoo!] ต่อทางด้านท้าย นั้นก็หมายความว่าการค้นหาข้อความนั้นๆ มาการเชื่อมโดยไปค้นข้อมูลจาก เว็บ Google และ Yahooแต่การค้นหาด้วยวิธีนี้มีจุดด้อย คือ วิธีการนี้จะไม่ให้ความสำคัญกับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษรและมักจะไม่ค้นหาคำประเภท Natural Language (ภาษาพูด) และที่สำคัญ Search Engine แบบ Metasearch Engines ส่วนมากไม่รองรับภาษาไทย
เทคนิคการสืบค้นข้อมูล
          1. การค้นหาแบบพื้นฐาน (Basic Search) เป็นการค้นหาสารสนเทศอย่างง่ายๆ ไม่ซับซ้อน โดยใช้คำโดดๆ หรือผสมเพียง 1 คำ ในการสืบค้นข้อมูล โดยส่วนใหญ่การค้นหาแบบง่ายจะมีทางเลือกในการค้นหา ได้แก่
              1.1  ชื่อผู้แต่ง (Author) เป็นการค้นหาโดยใช้ชื่อของบุคคล กลุ่มบุคคล นามปากกา หรือชื่อหน่วยงาน/องค์กร ที่เป็นผู้แต่งหรือเขียนหนังสือ บทความ งานวิจัย วิทยานิพนธ์ หรือทรัพยากรสารสนเทศนั้นๆ ซึ่งมีหลักการค้นหาง่ายๆ ดังนี้
                     1.1.1 ผู้แต่งคนไทย เป็นการค้นหาชื่อบุคคล ตัวอย่างเช่น กุลธิดา  ท้วมสุข ให้ตัดคำนำหน้าชื่อออก เช่น นาย นาง นางสาว หรือหากเป็นบุคคลที่มีบรรดาศักดิ์หรือฐานันดรศักดิ์ ให้ค้นด้วยชื่อ และต่อท้ายด้วยบรรดาศักดิ์หรือฐานันดรศักดิ์ หากเป็นการค้นหาชื่อที่เป็น นามปากกา ฉายาหรือสมณศักดิ์ ให้ค้นหาตามนามปากกา ฉายา หรือสมณศักดิ์
              ยกตัวอย่างเช่น
                     - นางกุลธิดา  ท้วมสุข            ชื่อที่ใช้ค้น คือ  กุลธิดา  ท้วมสุข  (ให้ตัดคำนำหน้าชื่อออก)
                     - ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมท        ชื่อที่ใช้ค้น คือ  คึกฤทธิ์ ปราโมท, ม.ร.ว.
                                                                                  (ให้เอาบรรดาศักดิ์ หรือฐานันดรศักดิ์ มาต่อท้ายชื่อ)
                     - ร.ต.อ ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์   ชื่อที่ใช้ค้น คือ  ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ (ให้ตัดยศหรือตำแหน่งออก)
                     - พระยาอุปกิตติศิลปสาร         ชื่อที่ใช้ค้น คือ  พระยาอุปกิตติศิลปสาร 
                     1.1.2 ผู้แต่งที่เป็นชาวต่างประเทศ ให้ค้นหาโดยใช้ ชื่อสกุล ตามด้วยชื่อกลางและชื่อต้น
              ยกตัวอย่างเช่น
                     "Judith G. Voet"                  ชื่อที่ใช้ค้น  คือ    Voet, Judith G.
                                                                             หรือ   Voet, Judith
                                                                             หรือ   Voet
                     1.1.3 ผู้แต่งที่เป็นหน่วยงาน/องค์กร ให้ค้นหาตามชื่อหน่วยงานหรือชื่อองค์กรนั้น เช่น การค้นหาชื่อหน่วยงานที่มีทั้งหน่วยงานใหญ่และหน่วยงานย่อย ให้ค้นหาโดยใช้ชื่อหน่วยงานใหญ่ก่อน แล้วตามด้วยชื่อหน่วยงานย่อย หากเป็นชื่อย่อ เมื่อค้นหาให้ใช้ชื่อเต็ม
              ยกตัวอย่างเช่น
                     -สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชื่อที่ใช้ค้น คือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. สำนักวิทยบริการ
                     - ททท.  ชื่อที่ใช้ค้น คือ การท่องเที่ยวแห่ประเทศไทย
              1.2  ชื่อเรื่อง (Title) เป็นการค้นหาข้อมูล ด้วยชื่อเรื่อง เช่น ชื่อหนังสือ ชื่อบทความ ชื่อเรื่องสั้น นวนิยาย ชื่องานวิจัย หรือวิทยานิพนธ์ การค้นโดยใช้ชื่อเรื่องนี้ เป็นการค้นหาแบบเจาะจง ดังนั้นผู้ค้น ต้องรู้จักชื่อเรื่อง หลักการค้นหาด้วยชื่อเรื่องทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ใช้หลักการเดียวกัน คือ ค้นหาตามชื่อนั้นๆ ได้เลย โดยระบบจะทำการค้นหาจากชื่อเรื่อง เริ่มจากอักษรตัวแรกและตัวถัดไปตามลำดับ
               ยกตัวอย่างเช่น
                     - เพลงรักในสายลมหนาว   (ชอบดูมาก..ชึ้ง..แถมพระเอกหล๊อ..หล่อ)
                     - อินเทอร์เน็ตสำหรับผู้เริ่มต้น  (เรื่องนี้ก็ชื่นชอบผู้แต่ง อ. ยืน ภู่วรวรรณ)
                     - Engineering Analysis  (เรื่องนี้ไม่อ่าน เพราะเดี๋ยวเจ็บหัว)
              1.3 หัวเรื่อง (Subject Heading) คือ คำหรือวลีที่กำหนดขึ้นมา เพื่อใช้แทนเนื้อหาของหนังสือ บทความ งานวิจัย วิทยานิพนธ์หรือทรัพยากรสารสนเทศนั้นๆ
              หัวเรื่องที่ใช้ในการค้นหานั้น จะนำมาจากคู่มือหัวเรื่องที่ใช้กันเป็นมาตรฐานในห้องสมุดหรือหน่วยงานที่ให้บริการสารสนเทศ ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ  ให้นึกถึงหัวเรื่องใหญ่และเรื่องย่อยเอาไว้ เช่น หัวเรื่องที่ต้องการค้นหา คือ คณิตศาสตร์ นี่คือหัวเรื่องใหญ่ ภายใต้หัวเรื่องใหญ่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ จะมีเรื่องย่อยๆ ซ่อนอยู่เช่น การบวก การลบ การคูณ การหาร เป็นต้น
              1.4 คำสำคัญ (Keywords) คือ การค้นหาด้วยคำหรือวลีที่กำหนดขึ้นมา เพื่อใช้แทนเรื่องที่ต้องการค้นหา โดยทั่วไปคำสำคัญจะมีลักษณะที่สั้น กระทัดรัด ได้ใจความ มีความหมาย เป็นคำนามหรือเป็นศัพท์เฉพาะในแต่ละสาขาวิชา  โดยจะกำหนดมาจากคำที่อยู่ในชื่อเรื่องและหัวเรื่องที่เราต้องการค้นหานั่นเอง
              การค้นหาด้วยคำสำคัญนั้น ระบบจะทำการค้นหาคำที่ปรากฏอยู่ในชื่อเรื่อง ไม่ว่าจะอยู่ต้นเรื่อง กลางเรื่องหรือท้ายเรื่อง  ผู้ค้น จะต้องดึงคำสำคัญที่อยู่ในชื่อเรื่องออกมา เพื่อใช้ค้นหา
          2. การค้นหาแบบขั้นสูง (Advanced Search) เป็นการค้นหาที่ซับซ้อนมากกว่าแบบพื้นฐาน ซึ่งมีเทคนิคหรือรูปแบบการค้นที่จะช่วยให้ผู้ค้นสามารถจำกัดขอบเขตการค้นหาหรือค้นแบบเจาะจงได้มากขึ้น เพื่อให้สามารถค้นหาข้อมูลได้ที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด
             2.1 การสืบค้นข้อมูล โดยใช้ตรรกบูลีน (Boolean Logic) หรือการค้นหาโดยใช้ Operator เป็นการค้นหา โดยใช้คำเชื่อม 3 ตัว คือ AND, OR, NOT ดังนี้
                  - AND ใช้เชื่อมคำค้น เพื่อจำกัดขอบเขตการค้นหาให้แคบลง
                  - OR ใช้เชื่อมคำค้น เพื่อขยายขอบเขตให้กว้างขึ้น
                  - NOT ใช้เชื่อมคำค้น เพื่อจำกัดขอบเขตให้แคบลง
             2.2 เทคนิคการตัดคำ (Truncation)
             2.3 เทคนิคการจำกัดคำค้น (Limit Search)


อ้างอิง
น้ำทิพย์ วิภาวิน,(2547)การจัดการความรุ้กับคลังความรู้ Knowledge Management and Knowledge Center.  กรุงเทพฯ:เอสอาร์พริ้นติ้ง แมสโปรดักส์.
พรธิดา วิเชียรปัญญา,(2547)การจัดการความรู้ : พื้นฐานและการประยุกต์ใช้.  กรุงเทพฯ : ธรรกมลการพิมพ์.
Ronald maier.  Knowledge Management Systems .  Sloan Management Review.

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

สิ่งที่ได้รับจากบทความของแต่ละกลุ่ม

สิ่งที่ได้รับจากบทความของแต่ละกลุ่ม
กลุ่มที่  1 บทบาทของการจัดการความรู้ในการสร้างสรรค์นวัตกรรม
ในบทความนี้พูดถึงการทำให้เกิดนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพในการจัดการความรู้ ซึ่งต้องมีการค้นคว้าให้เกิดขึ้นภายในอนาคตกาการจัดการความรู้จะเกิดขึ้นใน 3 ระดับ คือ ระดับบุคคล ระดับทีม และระดับองค์กร โดยสามารถแก้ปัญหาได้แบบองค์รวมผสมผสานความหลากหลายมุมมองคือ มุมมองทางกระบวนการ มุมมองทางวัฒนธรรม และมุมมองทางเทคโนโลยี โดยทั้งหมดจากการจัดการความรู้จะเกิดขึ้นใน 3 ระดับ คือ ระดับบุคคลระดับทีม และระดับองค์กร โดยสามารถแก้ปัญหาได้แบบองค์รวมผสมผสานความหลากหลายมุมมองคือมุมมองทางกระบวนการ มุมมองทางวัฒนธรรม และมุมมองทางเทคโนโลยี โดยทั้งหมดจะมีสัดส่วนที่เท่ากันมีสัดส่วนที่เท่ากั
กลุ่มที่ 2 การสร้างรายได้ผ่านคุณค่าของลูกค้า


กล่าวถึงรูปแบบที่จะช่วยให้เงินทุนของลูกค้านั้นที่จะรวมอยู่ในทุนมนุษย์ของ บริษัท ในการออกไปฝึกที่ไม่ได้ตอนนี้  รูปแบบการแสดงขั้นตอนสำคัญที่จำเป็นสำหรับการประปาในอ่างเก็บน้ำ ความรู้ของ บริษัท ลูกค้าและการนี้จะเพิ่มศักยภาพสำหรับรายได้มากขึ้น  บริษัท ที่ได้รับประโยชน์จากความก้าวหน้าด้านไอทีฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สามารถให้ บริการลูกค้าประจำสนใจกับโอกาสในการเข้าวงในของ บริษัท ที่มีความรู้และเสนอความคิดสร้างสรรค์ทำให้เกิดคำถามและคำตอบของแบบสอบถาม ให้กับลูกค้าอื่น ๆ ของบทนี้จะเรียกว่าลูกค้ารายได้จากการได้มา สถาปัตยกรรมที่สำคัญ บริษัท จำเป็นต่อการดำเนินการ CDRจะมีการอธิบายและกรณีศึกษาการใช้วิธีการที่คล้ายกันจะถูกนำเสนอในการยืมการ สนับสนุนสำหรับวิธีการใหม่นี้เพื่อทุนของลูกค้าที่จะนำมาใช้ในระดับที่กว้าง ขึ้นเพื่อดึงค่ามากขึ้นสำหรับ บริษัททำให้เกิดแรงจูงใจของสินค้าให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นจากลูกค้าที่ได้พบเห็น
กลุ่มที่ 3 การจัดทำระบบการจัดการความรู้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเรียนรู้และการฝึกอบรม
กล่าวถึง การจัดทำระบบของการจัดการความรู้นั้นจะเป็นการจัดการคนให้สามารถนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นการบริหารจัดการให้คนที่มีความรู้สามารถถ่ายทอดออกมาสู่คนอื่นๆ ที่ต้องการความรู้นั้นๆ ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง จากบทความนี้ก็ได้นำเสนอรูปแบบการถ่ายทอด เครื่องมือที่มีความหลากหลาย เกี่ยวกับการสร้างระบบการจัดการความรู้นี้  ยังแสดงให้เห็นมุมมองความต้องการของการใช้ระบบการจัดการเรียนรู้และฝึกอบรมทั้ง 6 ปัจจัยในด้านการแสดงออกของสื่อที่ให้เห็น ความซับซ้อน หลากหลายด้วยทัศนคติ การควบคุมผู้ใช้ การสนับสนุนออนไลน์ และการนำร่องภายใต้ประเด็นสำคัญ รวมไปถึงกลยุทธ์ต่างๆและวิธีการดำเนินงานตรวจสอบ 4 ประเภท ได้แก่ เนื้อหาแรงจูงใจผู้สนับสนุน และการเข้าถึง ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากหลักการทางการศึกษา
กลุ่มที่ 4  ความสัมพันธ์ของการจัดการความรู้และนวัตกรรม
จากการนำเสนอของบทความนี้จะกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการความรู้และนวัตกรรม ในการพัฒนาองค์กรเพื่อสร้างคุณภาพนวัตกรรมและการจัดการความรู้ขององค์กรธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ และกล่าวถึงการประยุกต์ใช้รูปแบบต่างๆในการจัดการองค์กร และจะเห็นได้ว่านวัตกรรมนั้นสามารถนำไปใช้ได้หลากหลาย อาจจะเป็นภายในบริษัท หรือภายนอกบริษัท ในการร่วมมือกันเพื่อนำนวัตกรรมที่ได้พัฒนาไปใช้ร่วมกัน




วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

KM Model

                               
Model ของ Peter M. Senge  แห่ง Massachusetts Institute of Technology ผู้เขียนหนังสือเรื่อง  “The Fifth Discipline: the Art and Practice of the Learning Organization.กล่าวถึงลักษณะขององค์การที่เรียนรู้ ไว้ว่า องค์การที่เรียนรู้นั้น จะต้องปฏิบัติตามข้อบัญญัติ 5 ประการ คือ
                                               
       

        1. System Thinking คือ ความสามารถในการคิดเชิงระบบ คนในองค์การสามารถมองเห็นวิธีคิดและภาษาที่ใช้อธิบายพฤติกรรมความเป็นไปต่างๆ ถึงความเชื่อมโยงต่อเนื่องของสรรพสิ่งและเหตุการณ์ต่าง ๆ  ซึ่งมีความสัมพันธ์ผูกโยงกันเป็นระบบเป็นเครือข่ายซึ่งผูกโยงด้วยสภาวะการ พึ่งพาอาศัยกัน สามารถมองปัญหาที่เกิดขึ้นได้เป็น วัฎจักรโดยนำมาบูรณาการเป็นความรู้ใหม่ เพื่อให้สามารถเปลี่ยนแปลงระบบได้อย่างมีประสิทธิผลสอดคล้องกับความเป็นไปในโลกแห่งความจริง
        2. Mental Model คือการตระหนักถึง กรอบแนวคิดของตนเอง ทำให้เกิดความกระจ่างกับรูปแบบ ความคิด ความเชื่อ ที่มีผลต่อการตัดสินใจและการกระทำของตน และเพียรพัฒนารูปแบบความคิดความเชื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ไม่ยึดติดกับความเชื่อเก่าๆที่ล้าสมัย และสามารถที่จะบริหารปรับเปลี่ยน กรอบความคิดของตน  ทำความเข้าใจได้ ซึ่งสอดคล้องกับความคิดในเชิงการรื้อปรับระบบงาน (Reengineering)
        3. Personal Mastery องค์การที่เรียนรู้ต้องสามารถส่งเสริมให้คนในองค์การสามารถเรียนรู้ พัฒนาตนเอง คือการสร้างจิตสำนึกในการใฝ่เรียนรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคคล สร้างสรรค์ผลที่มุ่งหวัง และสร้างบรรยากาศกระตุ้นเพื่อนร่วมงานให้พัฒนาศักยภาพไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งหมายถึงการจัดกลไกต่าง ๆ ในองค์การ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างองค์การ ระบบสารสนเทศ ระบบการพัฒนาบุคคล หรือแม้แต่ระเบียบวิธีการปฏิบัติงานประจำวัน เพื่อให้คนในองค์การได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ เพิ่มเติมได้อย่างต่อเนื่อง
        4. Shared Vision องค์การที่เรียนรู้จะต้องมีการกำหนดวิสัยทัศน์ร่วม ซึ่งจะเป็น กรอบความคิด เกี่ยวกับสภาพในอนาคตขององค์การ ที่ทุกคนในองค์การมีความปรารถนาร่วมกัน ช่วยกันสร้างภาพอนาคตของหน่วยงานที่ทุกคนจะทุ่มเทผนึกแรงกายแรงใจกระทำให้เกิดขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้การเรียนรู้ ริเริ่ม ทดลองสิ่งใหม่ๆ ของคนในองค์การ เป็นไปในทิศทาง หรือกรอบแนวทางที่มุ่งไปสู่จุดเดียวกัน
        5. Team Learning ในองค์การที่เรียนรู้ จะต้องมีการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม  คือการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์และทักษะวิธีคิดเพื่อพัฒนาภูมิปัญญาและศักยภาพของทีมงานโดยรวม มีการแบ่งปันแลกเปลี่ยน ถ่ายทอดข้อมูล ในระหว่างกันและกัน ทั้งในเรื่องของความรู้ใหม่ๆ ที่ได้มาจากการค้นคิด หรือจากภายนอก และภายใน การเรียนรู้เป็นทีม นี้ยังควรครอบคลุมไปถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานร่วมกันเป็นทีมด้วย ซึ่งการเรียนรู้และพัฒนาในเรื่องนี้ ก็จะช่วยให้การทำงานร่วมกันในองค์การ มีความเป็นทีมที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สมาชิกแต่ละคนสามารถแสดงศักยภาพที่มีอยู่ออกมาได้อย่างเต็มที่
                จากหลัก 5 ประการนี้เกื้อกูลและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน อาศัยพลังแห่งการเรียนรู้เป็นกลุ่ม  พลังแห่งการมองภาพรวม  มองความเชื่อมโยง  มองความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเป็นพลวัต  มองอนาคต  มองเชิงบวก  มองเห็นสภาพความเป็นจริง มองแบบไม่ยึดติด  ลดอัตตาหรือตัวกู-ของกู  มองที่ประโยชน์หรือความมุ่งมั่นเพื่อส่วนรวมหรือคุณค่าอันยิ่งใหญ่  และอาศัยพลังแห่งทักษะของการเรียนรู้ร่วมกัน  การเปลี่ยนสภาพหรือสิ่งที่ดูเสมือนเป็นจุดอ่อนหรือปัญหาให้กลายเป็นจุดแข็ง เป็นโอกาสหรือพลังในการดำเนินงานให้ก้าวหน้าไปได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว





อ้างอิง
การก้าวสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้. [ออนไลน์]. [ม.ป.ป.]. เข้าถึงได้จาก: www.dmsc.moph.go.th/km/kcorner/docs/knowledgebase.doc [เมษายน 2554]





เครื่องมือการจักการความรู้ (KM Tool)


เครื่องมือการจัดการความรู้ (KM Tools)
1. ชุมชนนักปฏิบัติ (Community of Practice-CoP) เป็นเครือข่ายความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการ เกิดจากความใกล้ชิด ความพึงพอใจ ความสนใจและพื้นฐานที่ใกล้เคียง ลักษณะที่ไม่เป็นทางการจะเอื้อต่อการเรียนรู้และการสร้างความรู้ใหม่ๆมากกว่าโครงสร้างที่เป็นทางการ 
 2. การใช้ที่ปรึกษาหรือพี่เลี้ยง (Mentoring Programs) เป็นวิธีการพัฒนาความสามารถพนักงาน ซึ่งส่วนมากจะมุ่งเน้นที่พนักงานใหม่ที่จำเป็นต้องมีการสอนงานอย่างรวดเร็ว เพื่อสามารถปฏิบัติงานได้ในเวลาอันสั้น โดยการมอบหมายให้พี่เลี้ยงเป็นผู้แนะนำและสอนวิธีการทำงานให้
 3. การทบทวนหลังการปฏิบัติ (After Action Review-AAR) คือ การอภิปรายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงเกิด และรักษาจุดแข็งและปรับจุดอ่อนอย่างไร ส่งผลให้ทีมและสมาชิกได้เรียนรู้จากทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว
 4. การเสวนา (Dialogue) การทำDialogue เป็นการปรับฐานความคิด โดยการฟังจากผู้อื่นและความหลากหลายทางความคิดที่เกิดขึ้น ทำให้สมาชิกเห็นภาพที่ใกล้เคียงกัน หลังจากนั้น เราจึงจัดประชุมหรืออภิปรายเพื่อแก้ปัญหาหรือหาข้อยุติต่อไปได้โดยง่าย และผลหรือข้อยุติที่เกิดขึ้นจะเกิดจากการที่เราเห็นภาพในองค์รวมเป็นที่ตั้ง
5. ฐานความรู้บทเรียนและความสำเร็จ (Lesson Learned and Best Practices Databases) เป็นการจัดการองค์ความรู้ในองค์กร ได้มีการจัดเก็บองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ ทั้งในรูปแบบของความสำเร็จ ความล้มเหลวและข้อเสนอแนะในเรื่องที่สนใจ โครงการ หรือกุ่มที่ปรึกษา ตัวอย่างที่กล่าวมานี้เป็นการจัดการองค์ความรู้ในองค์กรในช่วงยุคต้นๆของการจัดการความรู้ การที่มีศูนย์กลางความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ทำให้พนักงานทั้งองค์การสามารถเข้ามาเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้เชียวชาญได้โดยตรง หากเราสามารถดำเนินการได้ดี ฐานองค์ความรู้นี้จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการจัดกาองค์ความรู้ในองค์กร
 6.  แหล่งผู้รู้ในองค์กร (Center of Excellence-CoE) เป็นการกำหนดแหล่งผู้รู้ในองค์กร (Center of Excellence) หรือทราบว่าจะสามารถติดต่อสอบถามผู้รู้ได้ที่ไหน อย่างไร (Expertise Locators) จึงเป็นอะไรที่มากกว่ารายชื่อผู้เชียวชาญในแต่ละด้าน
7. การเล่าเรื่อง (Story Telling) เรื่องราวที่บอกเล่าทำให้ผู้ฟังเข้าไปร่วมอยู่ในความคิด มีความรู้สึกเสมือนส่วนหนึ่งของเรื่องล่า มีความต้องการที่จะหาคำตอบเพื่อแก้ปัญหาและหาเรื่องราวและความคิดต่างๆในเรื่องที่เล่านั้นกลายเป็นของผู้ฟัง ผู้ฟังมิใช่เป็นเพียงผู้สังเกตภายนอกอีกต่อไป
8.  เพื่อนช่วยเพื่อน (Peer Assist)เป็นการประชุมซึ้งเชิญสมาชิกจากทีมอื่น มาแบ่งปันประสบการณ์ ความรู้ ความเข้าใจให้แก่ทีมที่ต้องการความช่วยเหลือ ผู้ที่ถูกเชิญอาจจะเป็นคนที่อยู่ในองค์กรอื่นได้
 9.  เวที ถาม-ตอบ (Forum) เป็นอีกเวทีในการที่เราสามารถถามคำถามเข้าไป เพื่อให้ผู้รู้ที่อยู่ร่วมใน Forum ช่วยกันตอบคำถามหรือส่งต่อให้ผู้เชี่ยวชาญอื่นช่วยตอบ หากองค์กรมีการจัดตั้ง ชุมชนนักปฏิบัติ (Community of Practice-CoP) หรือมีการกำหนด แหล่งผู้รู้ในองค์การ (Center of Excellence-CoE) แล้วคำถามที่เกิดขึ้นสามารถส่ง/ยิง เข้าไปใน Forum ซึ่งอยู่ใน CoP หรือ CoE เพื่อหาคำตอบในลักษณะ“Pull Information”
10. อื่นๆ (Others)

อ้างอิง


KM knowledge management. [ออนไลน์]. [ม.ป.ป.]. เข้าถึงได้จาก: http://210.246.198.6/kmweb/index.php?option=com_content&view=article&id=102:kmtool&catid=83:interesting-km-article&Itemid=109 [5 เมษายน 2554]



วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

ประโยชน์ที่ได้จากบทความ

ประโยชน์ที่ได้รับ...Making Knowledge Management System an Effective Tool for Learning and Training


       การจัดการความรู้เป็นเกิดการเปลี่ยนแปลงจากความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคนเป็นความรู้ที่ชัดแจ้งให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดความรู้ในองค์กร  ดังนั้นการจัดการความรู้   จึงเป็นการจัดการคนให้สามารถนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นการบริหารจัดการให้คนที่มีความรู้ฝังอยู่ในตัวถ่ายทอดออกมาสู่คนอื่น ๆ   ที่ต้องการความรู้นั้นๆ   ด้วยวิธีการใดๆ ก็ตาม  สรุปได้ว่า  การจัดการความรู้  หมายถึง  การบริหารจัดการเพื่อให้คนที่ต้องการใช้ความรู้ได้รับความรู้ที่ต้องการในเวลาที่ต้องการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการทำงาน  และในการศึกษาบทความเกี่ยวกับการสร้างระบบการจัดการความรู้นี้  ยังแสดงให้เห็นมุมมองความต้องการของการใช้ระบบการจัดการเรียนรู้และฝึกอบรมทั้ง 6 ปัจจัยในด้านการแสดงออกของสื่อที่ให้เห็น  ความซับซ้อน หลากหลายด้วยทัศนคติ  การควบคุมผู้ใช้  การสนับสนุนออนไลน์  และการนำร่องภายใต้ประเด็นสำคัญ รวมไปถึงกลยุทธ์ต่างๆและวิธีการดำเนินงานตรวจสอบ 4 ประเภทได้แก่  เนื้อหา ,แรงจูงใจ ,ผู้สนับสนุน และการเข้าถึง  ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากหลักการทางการศึกษา ตลอดจนสิ่งเกี่ยวข้องและเครื่องมือการออกแบบระบบการจัดการความรู้ในเรื่องของความสามารถในการฝึกอบรมที่สำคัญ คือ เนื้อหา แรงจูงใจ การสนับสนุนและการเข้าถึงการนำเสนอ 

นวัตกรรมการเรียนรู้( Learning Innovation)

นวัตกรรมการเรียนรู้(Learning Innovation )

ความหมายของนวัตกรรม
                  “นวัตกรรม” มาจากภาษาอังกฤษว่า Innovation มาจากคำกริยาว่า innovate แปลว่า ทำใหม่ เปลี่ยนแปลงให้เกิดสิ่งใหม่ นวัตกรรม จึงหมายถึงการนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมจากวิธีการที่ทำอยู่เดิม เพื่อให้ใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น
             ดังนั้นไม่ว่าวงการหรือกิจการใด ๆ ก็ตาม เมื่อมีการนำเอาความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เข้ามาใช้เพื่อปรับปรุงงานให้ดีขึ้นกว่าเดิมก็เรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรม ของวงการนั้น ๆ เช่นในวงการศึกษานำเอามาใช้ ก็เรียกว่า “นวัตกรรมการศึกษา” (Educational Innovation)
            ในวงการศึกษามีคำเกี่ยวกับนวัตกรรมอยู่ 3 คำ ได้แก่
            1. นวัตกรรมการศึกษา (Educational innovation)  หมายถึง   สิ่งใหม่ที่นำมาใช้ในการจัดการศึกษา
            2. นวัตกรรมการเรียนการสอน (Instructional innovation)     หมายถึง สิ่งใหม่ที่นำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน
            3. นวัตกรรมการเรียนรู้ (Learning innovation)     หมายถึง สิ่งใหม่ที่นำมาใช้ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
               จะเห็นได้ว่านวัตกรรมการศึกษาเป็นนวัตกรรมที่ใช้ในวงกว้างด้านต่างๆ ที่เป็นการจัดการศึกษา 
ส่วนนวัตกรรมการเรียนการสอนและนวัตกรรมการเรียนรู้
 จัดเป็นนวัตกรรมประเภทเดียวกัน มีจุดเน้นที่การจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้

วัตถุประสงค์ ในการนำนวัตกรรมมาใช้
                เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพของการสอน ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน แต่บางครั้งมีการนำนวัตกรรมมาใช้ เพื่อแก้ปัญหาของผู้เรียน

องค์ประกอบของนวัตกรรมการเรียนรู้
               นวัตกรรมการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ ได้แก่
1.       วัตถุประสงค์
              เป็นส่วนที่บอกว่านวัตกรรมนั้นใช้เพื่อพัฒนาอะไร ผลที่เกิดขึ้นจากการใช้คืออะไร วัตถุประสงค์ที่มีความชัดเจนจะช่วยให้ผู้ที่ต้องการใช้นวัตกรรมนั้น มีข้อมูลสำหรับพิจารณาตัดสินใจ
        2.       แนวคิดพื้นฐาน
              เป็นส่วนที่ทำให้นวัตกรรมมีความน่าเชื่อถือว่าเมื่อนำไปใช้  จะประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ดังนั้น ทฤษฎี   หลักการ ที่นำมาใช้เป็นแนวคิดพื้นฐาน ต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และให้แนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และถ้าทฤษฎี หลักการเหล่านั้น มีงานวิจัยรองรับผล ก็จะยิ่งทำให้มั่นใจว่าการใช้นวัตกรรมนั้น จะได้รับผลตามที่ต้องการ
       3.   โครงสร้างหรือขั้นตอนการใช้
              เป็นส่วนที่แสดงภาพรวมของนวัตกรรม ถ้านวัตกรรมเป็นวัตถุ สิ่งของ จะมีโครงสร้างที่แสดง ส่วนประกอบต่าง ๆ เช่น ชุดการสอนแผนจุฬา ประกอบด้วย ซองบรรจุเอกสารบัตรเนื้อหา บัตรกิจกรรม บัตรคำถาม และบัตรเฉลย เป็นต้น  ส่วนนวัตกรรมที่เป็นวิธีการ หรือกระบวนการก็จะแสดงขั้นตอนการใช้นวัตกรรมเป็นลำดับขั้น เช่น รูปแบบการสอนต่างๆ จะมีคำอธิบายขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตั้งแต่ขั้นเตรียมการ ขั้นผู้เรียนทำกิจกรรมการเรียนรู้ และขั้นการจัดการหลังการเรียนรู้
       4.   การประเมินผล
                    เป็นส่วนที่แสดงความสำเร็จของนวัตกรรม โดยจะระบุวิธีวัดผล เครื่องมือที่ใช้วัดผล และวิธีการประเมินผล หากใช้วิธีประเมินผลที่ต่างออกไป อาจจะพบผลของการใช้นวัตกรรมที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของนวัตกรรม
 การออกแบบนวัตกรรมการเรียนรู้  (Designs of Learning Innovation)   
                การออกแบบนวัตกรรมการเรียนรู้ หมายถึง การรู้จักการวางแผน ขั้นตอนและวิธีการตามความคิดสร้างสรรค์ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม และทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
                                การแบ่งประเภทของนวัตกรรมการเรียนรู้  ได้แก่
                          1.1 นวัตกรรมด้านหลักสูตร เช่น การจัดหลักสูตรแบบบูรณาการ (Integrated Curriculum) การจัดหลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ (Function Literacy) การจัดหลักสูตรเพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ตามลำดับขั้นจนบรรลุเป้าหมาย (Mastery Learning Curriculum) หลักสูตรแบบเอกัตภาพ (Individualized Curriculum) และหลักสูตร กิจกรรมหรือประสบการณ์ (Activity or Experience Curriculum)
                       1.2 นวัตกรรมด้านการเรียนการสอน เช่น การสอนแบบโมดุล (Module Teaching) การสอนแบบจุลภาค (Micro Teaching) การสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์(Group Process Teaching) การสอนซ่อมเสริม (Remidial Teaching) การสอนโดยเพื่อน สอนเพื่อน (Peers Teaching) การสอนแบบพี่สอนน้อง(Monitoring) และการปรับ พฤติกรรม (Behavioral Modification) การสอนเป็นรายบุคคล(Individualized Instruction) การเรียนแบบรู้รอบ(Mastery Learning)  การเรียนแบบศูนย์การเรียน (Learning Center)การสอนแบบบูรณาการ(Integrative Techniques) การสอน แบบสืบสวนสอบสวน (Inquiry Method)การสอนแบบโครงการ อาร์ ไอ ที(Reduced Instructional Time) การสอนโดยใช้ชุดการเรียนการสอน (Instructional Package) การสร้างบทเรียนให้เรียนด้วยตนเอง (Personalized System Instruction) การสอนโดยให้ทางบ้านดูแลการฝึกปฏิบัติ (Home Training) ชุดการสอนย่อย (Minicourse)
                       1.3 นวัตกรรมด้านสื่อและเทคโนโลยีทางการศึกษา เช่น การใช้บทเรียน สำเร็จรูป (Programed Instruction) การใช้เครื่องช่วยสอน(Teaching Machine) การใช้วิทยุและโทรทัศน์ช่วยสอน (Teaching By Radio and TV) การใช้คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน(Computer-Assisted Instruction) ชุดการสอน (Learning Packages) และวิดีโอ ปฏิสัมพันธ์ (Interactive Video)
                       1.4 นวัตกรรมด้านการวัดและประเมินผล เช่น การวัดผลแบบอิงกลุ่มและแบบ อิงเกณฑ์ (Formative and Summative Evaluation) การประเมินผลเพื่อแก้ข้อ บกพร่อง (Diagnostic Evaluation)การเลื่อนชั้นโดยอัตโนมัติ (Automatic Promotion) การประเมินผลก่อนเรียน (Pre-test)
                       1.5 นวัตกรรมด้านการบริหารและบริการ เช่น การจัดการศึกษาแบบเปิด (Open University)
การจัดการศึกษาตามแนวมนุษยนิยม (Humanistic Education) การจัดตารางสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Scheduling) การจัดการศึกษานอกโรงเรียน (Non-Formal Education) การจัดโรงเรียนหมู่บ้านเด็ก(Summer Hill School) การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School Within School) การจัดโรงเรียนแบบไม่แบ่งชั้น (Non-Graded School) การเกณฑ์เด็กสองกลุ่มอายุ
 เป้าหมายของนวัตกรรมทางการศึกษา
1. เพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น
2. เพื่อทำให้การเรียนรู้บรรลุเป้าหมายทางการศึกษาที่วางไว้
3. เพื่อให้การจัดการศึกษามีประสิทธิภาพบรรลุเป้าหมายได้ดีขึ้น
การออกแบบนวัตกรรม
ขั้นตอนในการออกแบบนวัตกรรม มีดังนี้
1. ศึกษาประเภทของนวัตกรรม
2. ศึกษาวิธีการสร้าง
3. ศึกษาหลักสูตรการศึกษา
4. ลงมือสร้าง
5. ทดลองใช้ในการจัดการเรียนการสอน และปรับปรุง
6.  ประเมินผล
 ในการออกแบบนวัตกรรมผู้ออกแบบควรกล่าวถึงส่วนต่างๆ ต่อไปนี้
              1.  ชื่อนวัตกรรม
              2.  วัตถุประสงค์ของการใช้นวัตกรรม
              3.  ทฤษฎีหลักการที่ใช้ในการสร้างนวัตกรรม
              4.  ส่วนประกอบของนวัตกรรม
5. การนำนวัตกรรมไปใช้
 องค์ประกอบในการจัดทำนวัตกรรม
1. มีความรู้  รู้จุดเด่น ต้นทุน คุณภาพ ฝีมือเดิม และสังเคราะห์ได้
2. ตรงตามความความจำเป็นในการแก้ปัญหา
3. ผลที่ได้มีคุณค่า
4. จัดการนำสู่ผลได้จริง
การสร้างนวัตกรรม  
มีขั้นตอนสำคัญ ดังนี้
1. ปัญหาที่แท้จริงคืออะไร และจะแก้อย่างไร ประเด็นนี้มีความสำคัญมาก เพราะเราต้องรู้ปัญหาที่แท้จริงก่อนลงมือแก้ปัญหาจะทำให้สามารถแก้ปัญหาได้ตามเป้าหมายที่ต้องการ
2. นำปัญหาที่พบมาวาดเป็นภาพ โดยลงข้อมูลที่สำคัญ ๆ ก่อนไปที่ละภาพ
3. นำภาพที่ได้มาวิเคราะห์ หาสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไรและจะแก้ไขได้อย่างไร วิเคราะห์ต่อไปว่าการแก้ไขนั้น ๆ เรารู้อะไรบ้างและเราไม่รู้อะไร ทำอย่างไรจึงจะรู้ นำมากำหนดเป็นแผนภูมิ เช่น การสอนให้เด็กจำได้ เรารู้ว่าการท่องมากทำให้จำได้นานมีอะไรอีกที่เราไม่รู้
 การพัฒนานวัตกรรม
 ผู้ออกแบบนวัตกรรมควรวางแผนไว้ 3 ขั้นตอน
1.             ขั้นพัฒนาผู้ออกแบบนวัตกรรมต้องศึกษาแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ของการพัฒนาคือ
  -   ศึกษารายการนวัตกรรมว่าจะเลือกแบบไหน อย่างไร สามารถระบุส่วนประกอบ ทางเลือกที่สามารถเปิดได้กว้างขวางมากขึ้น  และลักษณะเฉพาะของแต่ละนวัตกรรม  ศึกษาตัวอย่างนวัตกรรมที่มีการคิดค้นขึ้นมา และศึกษาดูว่านวัตกรรมชิ้นนั้นเหมาะสมหรือไม่ ตรงตามวัตถุประสงค์หรือความต้องการหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นของใหม่ของเก่าที่อาจจะได้รับการคัดเลือกมาทำใหม่ สร้างขึ้นมาใหม่ ในแนวทางของตนเอง พัฒนาขึ้นมาได้ บางครั้งนวัตกรรมเก่าๆอาจจะมีค่าเป็นส่วนหนึ่งสำหรับต่อยอดการสร้างนวัตกรรมของตนเอง
  -   ศึกษาหลักสูตรหลักการสอนรายวิชาต่าง ๆ เอกสารแนะนำหลักการสอนต่าง ๆ ของกรมวิชาการ ตัวอย่างแนวการสอน  แนวการจัดกิจกรรม ส่วนนี้จะช่วยจำกัดวงของการคิดนวัตกรรมให้แคบเข้ามาสู่การเรียนการสอนของแต่ละบุคคล หลักสูตรหลักการสอน อาจจะมีวิธีการหลากหลายได้ แต่จะมีความรู้เป็นรากฐานอยู่ในตัวเอง อย่างน้อยเรามีวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้อยู่แล้ว
                -   ศึกษาทบทวนทฤษฎีการสอน หลักจิตวิทยาการศึกษา เพื่อนำมาใช้ประกอบการพัฒนานวัตกรรม ทฤษฎีการสอนนำสู่แนวทางการปฏิบัติแต่ไม่หนีจากวัตถุประสงค์ หลักจิตวิทยาการศึกษาเหมาะสำหรับแก้ปัญหาในชั้นเรียนอย่างมาก บางครั้งการศึกษาทฤษฎีไม่เหมือนกับการเจอสถานการณ์จริง ต้องมีวิทยายุทธ์อย่างมากในการควบคุมห้องเรียน ต้องใช้หลายกลยุทธ์และวิธีการเพื่อการดำเนินการสอนไปได้อย่างต่อเนื่อง
                -   มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ด้วยตนเอง ถ้าครูไม่คิดขึ้นมาที่จะพัฒนาก็ไม่เกิดขึ้น จากนามธรรมต้องสร้างเป็นรูปธรรม ขึ้นอยู่กับว่าคุณกล้าที่จะทำหรือเปล่า
              2. ขั้นทดลอง
              ใช้หลังจากพัฒนานวัตกรรม 1 ชิ้น ผู้ออกแบบบนวัตกรรมจะต้องเขียนแผนการสอนนวัตกรรมนั้นไปทดลองสอน ระบุ ชั้น วิชา ทดสอบเก็บคะนนและหลังการใช้นวัตกรรม เป็นขั้นดำเนินการขั้นแรกหลังจากมีการสร้างนวัตกรรมขึ้นมา ก่อนจะสอนต้องวาแผนการสอนก่อนเสมอเป็นหลักที่สำคัญ สามารถเดาผลล่วงหน้าได้ คิดวาดผลล่วงหน้าได้แต่ยังไม่ใช่ของแท้ต้องผ่านการใช้ก่อน
                 3. ขั้นประเมินและรายงานหลังจากทดลอง 
                ผู้ออกแบบนวัตกรรมได้นำนวัตกรรมไปทดลองใช้และเก็บคะแนนวิเคราะห์ผลการทดสอบ แสดงสถิติเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนการทดลอง  หลังการทดลองและร้อยละของจำนวนนักเรียนที่มีผลการสอบเป็นที่น่าพอใจ บางครั้งอาจจะไม่ได้ใช้สำหรับผลการสอบที่ดีขึ้น แต่เป็นการเรียนการสอนที่นักเรียนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น เข้าใจเรียนรู้ได้มากขึ้น แก้ปัญหาได้ดีขึ้น หรือบรรเทาปัญหานั้นลง นวัตกรรมไม่จำเป็นต้องเพื่อการสอบไม่ใช่วัตถุประสงค์เดียวแต่การใช้นวัตกรรมอาจจะมีหลายวัตถุประสงค์และอาจจะไม่หวังผลสำเร็จที่คะแนน แต่ผลที่เกิดขึ้นหลังการใช้ใช้แก้ปัญหาได้ เพราะการคิดนวัตกรรมใหม่ๆ มีจุดประสงค์ปลายทางที่หลากหลาย ไม่ระบุว่าสำหรับคะแนน การสอบ หรือการแก้ตัว บางครั้งการทดลองนวัตกรรมอาจจะไม่ได้ใช้ครั้งเดียวแต่ต้องมีการแก้ไขปรับปรุง และทดลองใช้ใหม่จึงสามารถวัดประสิทธิภาพของนวัตกรรมนั้นได้ ท้ายสุดหากเป็นโครงการใหญ่น่าสนใจ และอาจจะเป็นประโยชน์ต่อบุคคลอื่นผู้ออกแบบนวัตกรรมเขียนรายงานผลการทดลองเผยแพร่ให้ครู –อาจารย์อื่น ๆ ทราบ ส่วนมากเราจะเน้นความสำเร็จทางด้านนักเรียนมากกว่าว่าสามารถใช้แก้ปัญหาได้ อาจประกอบด้วย
                3.1    แผนการสอนที่ใช้นวัตกรรม
                3.2    นวัตกรรมที่สร้าง หรือพัฒนาขึ้น
                3.3    คู่มือการใช้นวัตกรรม
                3.4    แบบทดสอบก่อน – หลัง การใช้นวัตกรรม
                3.5    รายงานผลการทดลอ
การนำนวัตกรรมการเรียนรู้ไปใช้ประโยชน์ ( Implication of learning innovation )
                        นวัตกรรมการเรียนรู้ ( learning innovation )  สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในวงการศึกษาสรุปได้   ดังนี้
1.    เพื่อนำนวัตกรรมมาใช้แก้ปัญหาในเรื่องการเรียนการสอน  เช่น 
1.1 ปัญหาเรื่องวิธีการสอน   ปัญหาที่มักพบอยู่เสมอ คือ  ผู้สอนส่วนใหญ่ยังคงยึดรูปแบบการสอนแบบบรรยาย    โดยมีครูเป็นศูนย์กลางมากกว่าการสอนในรูปแบบอื่น    การสอนด้วยวิธีการแบบนี้เป็นการสอนที่ขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในบั้นปลาย   เพราะนอกจากจะทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่าย   ขาดความสนใจแล้ว    ยังเป็นการปิดกั้นความคิด   และสติปัญญาของผู้เรียนให้อยู่ในขอบเขตจำกัดอีกด้วย
                                1.2   ปัญหาด้านเนื้อหาวิชา   บางวิชาเนื้อหามาก    และบางวิชามีเนื้อหาเป็นนามธรรมยากแก่การเข้าใจ    จึงจำเป็นจะต้องนำเทคนิคการสอนและสื่อมาช่วย
                                1.3 ปัญหาด้านการวัดและประเมินผล เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ ครูผู้สอนนำไปใช้ในการปรับกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หรือใช้ผลการประเมินเป็นข้อมูลย้อนกลับในการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนได้
                                1.4 ปัญหาเรื่องอุปกรณ์การสอน   บางเนื้อหามีสื่อการสอนเป็นจำนวนน้อยไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้    เพื่อทำให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาวิชาได้ง่ายขึ้นจึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาคิดค้นหาเทคนิควิธีการสอน   และผลิตสื่อการสอนใหม่    เพื่อนำมาใช้ทำให้การเรียนการสอนบรรลุเป้าหมายได้
                         2.   เพื่อนำนวัตกรรมไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน   การสร้างองค์ความรู้ใหม่ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา    โดยการนำสิ่งประดิษฐ์หรือแนวความคิดใหม่ ๆ ในการเรียนการสอนนั้นเผยแพร่ไปสู่ครู – อาจารย์ท่านอื่น ๆ หรือเพื่อเป็นตัวอย่างอีกรูปแบบหนึ่งให้กับครู – อาจารย์ที่สอนในวิชาเดียวกัน   ได้นำแนวความคิดไปปรับปรุงใช้หรือผลิตสื่อการสอนใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป  
                         3.   การนำนวัตกรรมไปใช้เป็นผลงานทางวิชาการ             นวัตกรรมการเรียนรู้นอกจากจะเป็นประโยชน์ในด้านการปรับปรุงและพัฒนางานหรือการจัดการเรียนการสอนแล้ว ยังเป็นประโยชน์ ต่อการพัฒนาวิชาชีพอีกด้วย  โดยผู้สร้างนวัตกรรมสามารถนำผลจากการนำนวัตกรรมไปใช้เป็นผลงานวิชาการเพื่อขอเลื่อน
วิทยฐานะ หรือปรับตำแหน่งให้สูงขึ้นได้
 ตัวอย่างนวัตกรรมการเรียนรู้ที่นำไปใช้ในการพัฒนาเรียนการสอน
                          บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI )
                         ที่มีประสิทธิภาพที่สามารถทำให้ผู้เรียนที่เรียนด้วยบทเรียนนี้เกิดการเรียนรู้ตรงตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร
                         สื่อประสม  (Multi Media)
                         สื่อประสม  หมายถึง การนำเอาสื่อหลาย ๆ ประเภทมาใช้ร่วมกันทั้งวัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดในการเรียนการสอน โดยการใช้สื่อแต่ละอย่างตามลำดับขั้นตอนของเนื้อหา และในปัจจุบันมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ร่วมด้วยเพื่อการพลิกหรือการควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการเสนอข้อมูลทั้งตัวอักษร ภาพกราฟิก ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหวแบบวีดีโอทัศน์ และเสียง
 ผลกระทบของนวัตกรรมการเรียนรู้ (Impacts of learning innovation )
              ความเปลี่ยนแปลงทางด้านวิชาการ และเทคโนโลยีต่าง ๆ มีผลกระทบโดยตรงต่อการจัดการศึกษา หรือการบริหารจัดการ หลักสูตร การจัดการเรียนการสอน และการประเมินผล ทำให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการศึกษา จำเป็นต้องให้ความสนใจความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นที่ยอมรับว่าเป้าหมายสูงสุดของการจัดการศึกษา คือผลผลิตที่มีคุณภาพ งานวิจัยส่วนหนึ่งได้นำเอานวัตกรรมไปทดลองใช้ในชั้นเรียน และพบว่าได้ผลเป็นที่พอใจจึงทำการเผยแพร่ และใช้ในวงกว้างต่อมา เช่น ชุดการสอน และรูปแบบการสอนต่างๆ ดังนั้นในการพัฒนาการศึกษา  เราจะมีวิธีการอย่างไรที่จะสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ให้คนสนใจ  และใคร่ที่จะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา   เพราะนวัตกรรมการเรียนการสอน มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต  เพราะปัจจุบันมีการปฏิรูปการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ    ซึ่งต้องมีการจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามสภาพจริง  เรียนรู้จากประสบการณ์ผู้เรียนจึงจะทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ   ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมายมีความสนใจกระตือรือร้นและเกิดความอยากรู้อยากเห็น  สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้
ครูผู้สอน  ต้องมีความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมประเภท Multimedia   สามารถจัดทำสื่อนวัตกรรมออกมาใช้ในการเรียนการสอน    เพื่อให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้ตามศักยภาพอย่างเต็มที่และเต็มความสามารถ  
ผู้เรียน  จะต้องสนใจใฝ่เรียนรู้ในเรื่องของการใช้นวัตกรรมในรูปแบบของไอทีให้มากขึ้น เพื่อจะได้เกิดความคุ้นเคยแล้วสามารถใช้สื่อได้อย่างถูกต้อง 
สถานศึกษา  ต้องจัดทำสื่ออุปกรณ์เทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์   ให้พร้อมเพื่อสนองต่อความต้องการของผู้เรียนและทำให้การจัดกระบวนการเรียนการสอนมีความสมบูรณ์  ซึ้งจงส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการนำนวัตกรรมการเรียนรู้ไปพัฒนาการศึกษาให้มีความเจริญ ก้าวหน้าต่อไป
         
          เมื่อหลากหลายสถานบันหรือบุคลากรทางการศึกษาได้นำเอานวัตกรรมเข้ามาผนวกกับการศึกษาช่วยในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ที่เรียกว่า "นวัตกรรมการศึกษา"  ให้เข้ามามีบทบาทในการเรียนการสอน  ซึ่งเป็นการนำเอาแนวคิด วิธีการการเกี่ยวข้องกับการศึกษา เพื่อพัฒนา ปรับปรุง มาเพิ่มประสิทธิภาพให้การศึกษา ให้มีระบบที่ดียิ่งขึ้น มีคุณภาพ ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ หรือประสิทธิผลสูงขึ้น อันได้แก่  สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาที่คิดขึ้นมาใหม่ทั้งหมด  สิ่งที่คิดเพิ่มเติมจากเดิม หรือสิ่งที่เคยนำมาใช้แล้วและปรับปรุงให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น การนำวิธีการใหม่ๆ ที่ดีกว่ามาปรับปรุงแก้ไขวิธีการเดิมๆ  การคิดค้นระบบหรือการจัดการวิธีการ การวิจัยหรืออื่นๆ แล้วนำมาเผยแพร่กว้างขวางยิ่งขึ้น  เช่น คอมพิวเตอร์มัลติมิเดีย คอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทเรียนแบบโปรแกรม ชุดการสอน เป็นต้น
              ทั้งนี้ การจัดการเรียนการสอนที่ดีนั้น นอกจากจะมีนวัตกรรมการสอนที่ดีทันสมัย มาใช้กับผู้เรียนให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด นอกเหนือจากนวัตกรรมมาที่เป็นอุปกรณ์ช่วยสอนหรือวิธีการสอนเท่าแล้วนั้น ยังต้องมีสิ่งสำคัญเกี่ยวข้องกับนวัตกรรมการเรียนการสอน ประกอบด้วย ครูผู้สอน หลักสูตรหรือเนื้อหา ผู้เรียน สื่อ/อุปกรณ์ และทักษะกระบวนการต่างๆ ทั้งหมดล้วนก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ต่อผู้เรียนได้ตลอดเวลา และตลอดชีวิต


อ้างอิง


บทความทางวิชาการนวัตกรรมการเรียนรู้สู่การพัฒนาการศึกษา. [ออนไลน์]. [...]. เข้าถึงได้จาก: http://nutchanatmk20.multiply.com/journal/item/5/5. [30 มีนาคม 2554]